1) กรณีเขาพระวิหารจังหวัดศรีสะเกษ
กรณีปราสาทเขาพระวิหาร เป็นความขัดแย้งระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชากับราชอาณาจักรไทย ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2501 ในการอ้างสิทธิเหนือบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายแดนไทยด้านอำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ และชายแดนกัมพูชาด้านจังหวัดพระวิหาร ปัญหาดังกล่าวเกิดจากการที่ทั้งไทยและกัมพูชา ถือแผนที่ปักปันเขตแดนตามแนวสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรักคนละฉบับ ทำให้เกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนของทั้งสองฝ่ายในบริเวณที่เป็นที่ตั้งของตัวปราสาท โดยทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทยได้ยินยอมให้มีการพิจารณาปัญหาดังกล่าวขึ้นที่ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2502
คดีนี้ศาลโลกได้ตัดสินให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ท่ามกลางความไม่พอใจของฝ่ายไทย ซึ่งเห็นว่าศาลโลกตัดสินคดีนี้อย่างไม่ยุติธรรม เนื่องจากศาลโลกยึดติดอยู่บนแผนที่ฉบับเดียว โดยที่ศาลโลกมิได้มีการตรวจสอบสถานที่อย่างจริงจังตามข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม การตัดสินคดีครั้งนี้ไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องอาณาเขตทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา ในบริเวณดังกล่าวให้หมดไป และยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังต่อมาจนถึงปัจจุบัน
2) กรณีพื้นที่ชายแดน จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดสระแก้ว ตราด เกาะกรูด ทะเลในอ่าวไทย
สุรินทร์
ขณะที่แผนที่ชุด L 7017 มาตราส่วน 1: 50,000 ปี 2527 ที่ฝ่ายไทยยึดถือ และแผนที่ชุด L 7016 มาตราส่วน 1: 50,000 ปี 2514 จัดทำโดยสหรัฐอเมริกาที่ฝ่ายกัมพูชายึดถือ ปรากฏเส้นเขตแดนตรงกันคือ ตัวปราสาทตาเมือนธมอยู่ในเขตกัมพูชา และอีก 2 ปราสาท (ตาเมือนโต๊ด, ตาเมือน) อยู่ในเขตไทย ปัจจุบันปัญหาบริเวณดังกล่าวจึงยังไม่ได้ข้อยุติ
ศรีสะเกษ
กรณีปรากฏข่าวสารว่ากัมพูชากล่าวหาว่าทหารไทยสร้างอาคารบริเวณผามออีแดง (เขาพระวิหาร) อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ นั้น จากการตรวจสอบพบว่า ไทยได้สร้างศาลาที่พักนักท่องเที่ยวตั้งแต่ปลายปี 2545 และบริเวณดังกล่าวอยู่ในเขตแดนไทย ปัจจุบันได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ ส่วนบริเวณช่องตาเฒ่า อำเภอกันทรลักษ์ ทหารไทยได้สร้างบังเกอร์ ซึ่งอยู่ในเขตไทยเช่นกัน
ความคืบหน้าการเปิดจุดผ่านแดนถาวรตามมติครม.ร่วมไทย – กัมพูชา
สระแก้ว
พื้นที่ จ.สระแก้ว ที่อยู่ในความดูแลของกองกำลังบูรพา ตั้งแต่ อ.ตาพระยา อ.คลองหาด (หลักเขตที่ 28-51) มีหลักเขตที่สมบูรณ์ 11 หลักเขต สูญหายจำนวน 6 หลักเขต แต่ที่มีเหตุให้เกิดการล้ำแดน คือ
3.1 บริเวณหลักเขตที่ 31-32 เนิน 48 อ.ตาพระยา โดยไทยและกัมพูชายึดแผนที่อ้างอิงต่างกัน ไทยยึดแผนที่ชุด L 7017 ที่ไทยและสหรัฐจัดทำเมื่อปี 2512-2514 แต่กัมพูชายึดแผนที่ชุด L 7016 จัดทำโดยฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ.2497
3.2 หลักเขตที่ 35 บริเวณจุดผ่อนปรนตาพระยา-บึงตรอกวน อ.ตาพระยา ซึ่งหลักเขตดังกล่าวสูญหาย ทำให้ไม่สามารถกำหนดเส้นเขตแดนที่ชัดเจนได้ และกัมพูชายังกล่าวหาฝ่ายไทยว่าก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์บางส่วนรุกล้ำเขตแดนกัมพูชา
3.3 หลักเขตที่ 37-40 บริเวณเขาพนมปะ และเขาพนมฉัตร อ.ตาพระยา ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างยึดถือแผนที่อ้างอิงต่างกัน
3.4 หลักเขตที่ 46-48 ต.โนนหมากมุ่น กิ่ง อ.โคกสูง ถูกราษฎรกัมพูชาบ้านโชคชัย จังหวัดบันเตียเมียนเจย ประมาณ 200 คน รุกล้ำเข้ามาปลูกที่อยู่อาศัยในเขตไทยห่างจากชายแดนประมาณ 300 เมตร คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 400 ไร่ นอกจากนี้หลักเขตที่ 48 ยังถูกทำลายด้วย
3.5 พื้นที่บ้านป่าไร่ใหม่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ ใกล้หลักเขตที่ 49 ฝ่ายกัมพูชาก่อสร้างกำแพงคอนกรีตในบริเวณดังกล่าว แต่ยอมยุติการก่อสร้างและยอมให้ไทยรื้อ
ถอนบางส่วน ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้นำกำลังตำรวจเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการในเขตกัมพูชาใกล้บริเวณดังกล่าว
ถอนบางส่วน ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้นำกำลังตำรวจเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการในเขตกัมพูชาใกล้บริเวณดังกล่าว
3.6 พื้นที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรคลองลึก อ.อรัญประเทศ เกิดจากการปรับพื้นที่เพื่อก่อสร้างบ่อนการพนันในเขตกัมพูชา อันเป็นเหตุให้ลำน้ำคลองลึก คลองพรมโหด ที่ใช้เป็นเส้นเขตแดนตื้นเขินและเปลี่ยนทิศทาง
3.7 หลักเขตที่ 51 บ้านคลองหาด อ.คลองหาด (เขาตาง็อก) ไทยและกัมพูชาต่างใช้แผนที่อ้างอิงที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดพื้นที่เหลื่อมทับกันประมาณ 3 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 1,875 ไร่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาเข้าทำการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างไว้ และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ได้เข้าเจรจาให้รื้อถอนออกไปแล้ว
ตราด
5.1 บริเวณบ้านคลองสน บ้านคลองกวาง-ตากุจ อ.คลองใหญ่ บนเส้นเขาบรรทัด เนื่องจากกัมพูชาได้สร้างถนนสาย K5 ล้ำเข้ามาในเขตไทยประมาณ 500 เมตร รวมระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ซึ่งฝ่ายกัมพูชายอมรับว่าสร้างล้ำเข้ามาจริง ทาง กปช.จต.จึงได้ปิดเส้นทางในส่วนที่ล้ำเข้ามา พร้อมทั้งตั้งจุดตรวจและลาดตระเวนตามเส้นทางอย่างต่อเนื่อง
5.2 บริเวณบ้านหนองรี อ.เมือง กำลังทหารสังกัดร้อย ปชด.1 พัน ปชด.501 ได้เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการบริเวณพิกัด TU.509454 ลึกเข้ามาในเขตไทยประมาณ 300 เมตร กปช.จต.ได้กดดันมิให้ฝ่ายกัมพูชาก่อสร้างอาคารเพิ่มเติม
5.3 หลักเขตแดนที่ 72,73 จุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ โดยหลักเขตที่ 72 สูญหาย และมีการอ้างอิงแนวเขตจากหลักเขตที่ 73 ไปยังหลักเขตที่ 72 แตกต่างกัน ฝ่ายกัมพูชายึดถือค่าพิกัด TT.724886 ส่วนไทยยึดถือที่ค่าพิกัด TT.725884 ทำให้มีพื้นที่เหลื่อมทับกันประมาณ 100 ไร่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาพยายามก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวรในพื้นที่ แต่ กปช.จต.ได้กดดันให้ยุติ
เส้นเขตแดนทางน้ำ
ไทยและกัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทยแตกต่างกัน ฝ่ายกัมพูชาประกาศเมื่อ 1 ก.ค.2515 โดยลากเส้นจากจุดอ้างอิงที่ละติจูด 11 องศา 38.88 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 102 องศา 54.81 ลิปดาตะวันออก ผ่านยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเลยไปถึงระยะกึ่งกลางระหว่างหลักเขตที่ 73 ส่วนฝ่ายไทยประกาศเขตไหล่ทวีปเมื่อ 18 พ.ค.2516 โดยกำหนดจุดอ้างอิงที่ 1 ที่ละติจูด 11 องศา 39 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 102 องศา 55 ลิปดาตะวันออก ที่บ้านหาดเล็ก แล้วลากเส้นเกาะกง จากนั้นแบ่งครึ่งมุมระหว่างเส้นฐานตรงออกเป็นมุมภาคทิศ 211 องศา ไปยังตำแหน่งของจุดที่ 2
3) กรณี MOU43 ของรัฐบาลนายชวนหลีกภัยมีผลต่อการจัดการพื้นที่ชายแดนอย่างไร หากมีการนำมาใช้จะก่อให้เกิดปัญหากับพี่น้องประชาชนในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกับชายแดนไทยกับกัมพูชาอย่างไร
MOU 43 คือการร่วมกันดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทย กับราชอาณาจักรกัมพูชา
สำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจาก MOU 43 นั้น ต้องบอกว่าเหลือคณานับ แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องอธิปไตยเหนือดินแดนไทยที่จะต้อง เปลี่ยนไปถึงขั้นต้องตีพิมพ์แผนที่ประเทศไทยใหม่กันทีเดียว
4) กรณี คนไทย 7 คน ประกอบด้วย สส.พรรคประชาธิปัตย์ (นายพนิต) ประชาชนหัวใจรักชาติ (นายวีระ สมความคิด นายแซมดิน นายตายแน่ มุ่งมาจนและผู้ติดตามผู้หญิงอีก 2 ท่าน) ร่วมกับสส.ไปตรวจพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ในการแบ่งเขตพื้นที่ชายแดน และถูกทหารกับพูชากับจับหรือลักพาตัวไปขึ้นศาลประเทศกัมพูชา
จากกรณีที่ 7 คนไทยได้ถูกทหารกัมพูชาถูกจับกุมเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ.2554 กรณีคนไทย 7 คนที่ถูกประเทศกัมพูชาจับกุม ในกรณีนี้ไม่แน่นอนอยู่ว่าไทยลุกล้ำดินแดนของกัมพูชาอย่างไรเพราะเป็นพื้นที่พิพาทกันอยู่ดังนั้นรัฐบาลจะต้องช่วยเหลือคนเหล่านี้ให้สำเร็จ ไปคนไทยจะได้ไม่เป็นเหยื่อของการพิพาทของดินแดนอีกต่อไป โดยล่าสุดนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคนไทยอีก 4 คนได้เดินทางกลับประเทศไทยแล้ว เมื่อศาลพิพากษาจำคุก 9 เดือนแต่ให้รอลงอาญา
สุรินทร์มีปัญหาพรมแดนติดต่อกับกัมพูชาทางด้าน อ.กาบเชิง บัวเชด สังขะ และกิ่งอำเภอพนมดงรัก ซึ่งเขตแดนติดต่อมีลักษณะเป็นป่า มีทิวเขาพนมดงรักกั้นตลอดแนว ส่วนหนึ่งประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ และตามแนวชายแดนซึ่งเป็นเขตแดนทางบกมีช่องทางขึ้นลงจำนวนมากปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเฉพาะที่สำคัญ ได้แก่